ถ้าไม่หาเสียง ไม่ต้องการมี สส. ในสภา แล้วจะเป็นพรรคการเมืองไปเพื่ออะไร?

ต่อให้ไม่มี สส. ในสภา เราก็ไม่หยุดทำงานสร้างประโยชน์สุขให้ประชาชน

มีผู้ติดตามทางสื่อตั้งคำถามมาว่า “ถ้าไม่หาเสียง ไม่ต้องการมี สส. ในสภา แล้วจะเป็นพรรคการเมืองไปเพื่ออะไร?” เป็นคำถามที่น่าสนใจ และมีผู้สนใจถามคำถามคล้าย ๆ กันนี้มาเป็นระยะตั้งแต่เราได้เปิดตัวและประชาสัมพันธ์แนวทางการทำงานของพรรคออกสู่สาธารณะ

เนื่องจากแนวทางการเมืองของพรรคสัมมาธิปไตยนั้นเป็นการเมืองแนวใหม่ เป็นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย อาจจะเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวในโลกก็ได้ที่เป็นแบบนี้ แนวทางการเมืองที่พวกเราเรียกกันว่า “การเมืองโลกุตระ” ซึ่งแตกต่างจากการเมืองโดยทั่วไป ดังนี้

(1) “เราหาศีล ไม่หาเสียง” – คำขวัญนี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกของการเปิดตัวพรรค อยู่ระหว่างการเร่งรับสมัครสมาชิกพรรคให้ได้ครบจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ด้วยความเป็นพรรคการเมืองของคนมีศีล กลุ่มผู้ก่อตั้งและคณะทำงานของพรรคล้วนเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ถือศีลตามหลักศาสนาพุทธ ถึงแม้ว่าจะต้องเร่งหาสมาชิกอย่างเร่งด่วน แต่ก็มีเงื่อนไขว่าผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้จะต้องเป็นคนมีศีล ละอบายมุข อย่างน้อยต้องลดละเลิกอบายมุขได้หนึ่งเรื่อง จึงจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคสัมมาธิปไตยได้ นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าพรรคเราไม่ต้องการมีตำแหน่งทางการเมือง เราทำงานโดยตรงกับประชาชนที่ยินดีให้เราช่วยเหลือ และทำมาหลายสิบปีก่อนจะตั้งพรรคด้วยซ้ำ เราจึงเป็นพรรคที่ทำงานการเมืองแบบนี้มาตลอดโดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ

(2) “สส. ของเราคือนักเสียสละ” – เนื่องจากเราไม่ได้มุ่งหวังตำแหน่งทางการเมือง เราจึงไม่สนใจการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเราก็ไม่คิดว่าการเลือกตั้งคือสาระสำคัญของประชาธิปไตยที่แท้จริงด้วย แต่เราพยายามให้ความรู้และสร้างคนดีให้สังคมมาโดยตลอด ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำมา โดยเฉพาะกิจกรรมค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพพึ่งตน กสิกรรมไร้สารพิษ และเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ยังเป็นที่บ่มเพาะจิตอาสาหรือนักเสียสละให้แก่สังคมด้วย ดังนั้น เราจึงมองว่า สส. ของเราน่าจะเป็น “นักเสียสละ” มากกว่า และเป็นบุคลากรที่เราตั้งใจจะพัฒนาให้เกิดขึ้นมาก ๆ ในสังคมประเทศชาติ ไม่ใช่แค่ 500 คน และยิ่งเราสร้างนักเสียสละที่แท้จริงได้มากเท่าไร สังคมเราก็จะอยู่เย็นเป็นสุขได้มากเท่านั้น

(3) “งานการเมืองที่แท้จริงคืองานที่สร้างประโยชน์สุขให้แก่คนในบ้านเมือง” – อันที่จริงกลุ่มของเราตั้งแต่ชาวอโศก (สันติอโศก) นำโดยพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ มาจนถึงจิตอาสาแพทย์วิถีธรรม นำโดยอาจารย์หมอเขียว ดร. ใจเพชร กล้าจน ได้ทำงานกับสังคมมาโดยตลอด เป็นงานการเมืองที่ให้ประโยชน์สุขแก่คนในบ้านเมืองอย่างแท้จริง แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่างานเหล่านี้คืองานการเมือง จนเมื่อสถานการณ์สุกงอมพอ เราจึงได้จัดตั้งพรรคสัมมาธิปไตยขึ้นมา เพื่อจะสื่อสารให้ผู้คนในบ้านเมืองได้เห็นและเข้าใจงานการเมืองของเรามากขึ้น และถึงแม้ว่าพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นนี้จะไม่ประสบความสำเร็จในการทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจแนวทางการเมืองของเราได้ แต่หากยังมีผู้คนบางส่วนที่ได้ประโยชน์สุขจากงานที่เราทำอยู่ เราก็จะไม่หยุดทำงานนี้แน่นอน เพราะเป้าหมายของเราชัดเจน คือ พึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์

(4) “นักการเมืองที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง” – ด้วยปรัชญาของการพึ่งตนเองเป็นหลักในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ พลังงาน ตลอดจนถึงจิตวิญญาณ พรรคสัมมาธิปไตยจึงส่งเสริมการพัฒนาให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่สามารถพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องรอพึ่งพิงนักการเมือง ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากนักการเมือง และเมื่อสามารถพึ่งตนเองได้อย่างแข็งแรงดีแล้ว ก็ยังสามารถเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นในด้านต่าง ๆ ตามกำลังความสามารถของแต่ละคนได้ด้วย ดังนั้น ผู้ที่เคยผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมของพรรคสัมมาธิปไตย โดยเฉพาะจากค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม จึงมีศักยภาพเท่ากับเป็นนักการเมืองด้วยตัวเอง และเป็นนักการเมืองที่เราสามารถไว้วางใจได้มากที่สุดในโลกด้วย เพราะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจครอบงำของกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มทุนใด ๆ ทั้งสิ้น

นี่คือส่วนหนึ่งของแนวทางการเมืองโลกุตระ ที่พรรคสัมมาธิปไตยพยายามดำเนินการอยู่ ยังมีรายละเอียดในแนวคิดและวิธีการต่าง ๆ อีกมาก ซึ่งกลั่นออกมาจากชีวิตและจิตวิญญาณของหัวหน้าพรรคและคณะทำงาน ที่นำเอาหลักพุทธธรรม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักการบุญนิยม มาปฏิบัติกับชีวิตจริง ๆ จนประสบผลสำเร็จกับตนเองแล้ว จึงนำมาถ่ายทอดให้พี่น้องประชาชนได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ไม่ได้มาจากตำรารัฐศาสตร์หรือตำราเศรษฐศาสตร์สำนักใด ๆ ในโลกทั้งสิ้น

มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะเข้าใจการเมืองโลกุตระของพรรคสัมมาธิปไตยได้ โดยเฉพาะท่านที่ยังคงยึดติดอยู่กับกรอบความคิดเดิม ๆ อันคับแคบของการเมืองแบบที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีแต่การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่ง เพื่อให้ได้อำนาจเข้าไปบริหารปกครองบ้านเมือง ตามผลประโยชน์หรืออุดมการณ์ของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่และไม่สามารถสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขให้ประชาชนได้อย่างแท้จริง

พรรคสัมมาธิปไตยเราตระหนักดีว่า งานการเมืองแบบที่เราพยายามทำอยู่นี้เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ แต่เราก็ประสบความสำเร็จมาแล้วกับคนจำนวนไม่น้อยที่มีโอกาสได้มาเรียนรู้กับเรา มีผู้ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นนักเสียสละทำงานฟรีร่วมกับเรามากขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงมีคนใหม่ ๆ ที่ได้ประโยชน์จากการทำงานของเราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงมั่นใจในผลงานที่เราทำมา และตั้งใจทุ่มเททำต่อไป จนกว่าจะไม่เหลือใครที่จะได้ประโยชน์จากเราอีกต่อไป

ดังนั้น “ต่อให้ไม่มี สส. ในสภาแม้แต่คนเดียว หรือต่อให้พรรคต้องถูกยุบไปตามกฎหมายก็ตาม เราจะไม่หยุดทำงานสร้างประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนอย่างแน่นอน”

จางคลาย
10 มกราคม 2567

เรื่องที่เกี่ยวข้อง