ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วทั้งโลกที่เข้าหูเข้าตาเราผ่านอุปกรณ์เล็ก ๆ บนฝ่ามือในทุกวันนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “กลียุค” ไม่ได้เป็นแค่คำเก่าแก่ที่มีอยู่แต่ในคัมภีร์หรือตำรับตำราโบราณเท่านั้น แต่มันเหมือนกำลังโผล่หน้ามาโบกไม้โบกมือทักทายเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามใหญ่หรือสงครามเล็กในดินแดนต่าง ๆ ความวิปริตแปรปรวนอย่างรุนแรงของลมฟ้าอากาศ พิษในสิ่งแวดล้อม ภัยจากธรรมชาติ โรคระบาดแปลก ๆ ใหม่ ๆ และภาวะข้าวยากหมากแพง ตลอดจนสถานการณ์การเมืองในประเทศอันมืดมน ที่ดูเหมือนหนทางข้างหน้าของบ้านเมืองมีแต่จะตีบตันลงไปเรื่อย ๆ จนหลายคนรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง กลายเป็นความซึมความเศร้าที่กำเริบขึ้นในใจ

ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ยังไม่เห็นแสงสว่างอย่างนี้ พรรคสัมมาธิปไตยก็ไม่ยอมงอมืองอเท้า เราได้ออกมาสนับสนุนการชุมนุมประท้วงของภาคประชาชน โดยการนำของ คปท. ศปปส. และกองทัพธรรม ซึ่งเริ่มต้นจาก “Save กระบวนการยุติธรรม” กรณีนักโทษเทวดาชั้น 14 ที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ได้รับอภิสิทธิ์อย่างโจ๋งครึ่ม ไม่ต้องอยู่ห้องขังเลยตลอด 6 เดือน และต่อเนื่องมาจนกลายเป็น “ทวงคืนประเทศไทย” หลังจากที่นักโทษชายได้รับการพักโทษและออกมามีบทบาทชี้นำทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งและไม่รู้สึกรู้สาต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมแม้แต่น้อย

ในฐานะพรรคการเมืองเล็ก ๆ พรรคหนึ่งในระบบการเมืองไทยปัจจุบัน แม้เราจะไม่ได้เป็นผู้นำมวลชนโดยตรง แต่ก็มีบทบาท “เสริมหนุน” การเมืองภาคประชาชนกลุ่มนี้ในการต่อสู้กับนักการเมืองโลกเก่าอย่างเต็มที่ พร้อมกับพยายามนำเสนอแนวทาง “การเมืองโลกุตระ” ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ แทรกเสริมเติมเต็มเป็น “อาวุธทางปัญญา” ให้แก่มวลประชาชนในขบวนการต่อสู้ไปด้วย เพื่อให้การต่อสู้ทางการเมืองรอบใหม่นี้ มีทิศทางและเป้าหมายสุดท้ายที่ชัดเจน คมลึก แม่นประเด็นยิ่งกว่าครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา

ดร. ใจเพชร กล้าจน ตัวแทนภาคประชาชนจากกองทัพธรรม ในขณะเดียวกัน ก็สวมหมวกหัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตยด้วย ได้เปิดเผยในระหว่างการปราศรัยบนเวทีการชุมนุมที่สะพานชมัยมรุเชฐว่า “รอบนี้เราจะไม่ยอมให้เสียของอีกแล้ว” เราจะไม่จบแค่กำราบนักการเมืองเลวออกจากอำนาจแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านเหมือนคราวก่อน แต่เราจะต้องเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศไทย” กันอย่างจริงจัง ด้วยการหลอมรวมพลังความดี ต่อต้านสิ่งเลวร้าย ส่งเสริมสิ่งดีงาม นี่คือสิ่งที่เราจะต้องทำ และทำสืบเนื่องต่อไปจนกว่าประเทศไทยจะปลอดภัยและอยู่เย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง

นี่คือทิศทางของ “การเมืองใหม่” เป็น “การเมืองโลกุตระ” ที่เรากำลังดำเนินการกันอยู่ เป็นการกอบบ้านกู้เมืองรอบใหม่ และครั้งนี้เราจะพยายามทำให้สมบูรณ์กว่าเดิม คือ มีทั้งปราบและสร้าง ปราบก็คือ ประท้วงต่อต้านอำนาจเลวร้าย หยุดยั้งพลังของนักการเมืองฉ้อฉล และสร้างก็คือ สานพลังคนดี ผู้ที่มาร่วมกันต่อสู้ หลอมรวมกันเป็นเครือข่ายของคนดีให้สืบเนื่องต่อไป ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่มีการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บริหารประเทศต่อไป เครือข่ายของคนดีจะยังคงสานพลังกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ส่งเสริมเติมเต็มกันและกัน ให้ทุกคนมีความสามารถในการพึ่งตน เป็นอิสระจากการครอบงำของนักการเมือง และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันในสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต ทั้งที่เป็นปัจจัยสี่ และปัจจัยเสริมในการช่วยเหลือประชาชนให้ได้ความอยู่เย็นเป็นสุข

หากเราสามารถสานพลังกันอย่างเหนียวแน่น จะเกิดพลังสร้างสรรค์สังคมอย่างมหาศาล ถึงขั้นพลิกฟื้นประเทศไทยให้รอดพ้นจาก “กลียุค” ไปสู่ความเป็น “อาริยะ” และเป็นแบบอย่างความเจริญหรือการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริงให้แก่ประเทศอื่น ๆ ในโลกด้วย

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์กล่าวว่า “การแก้ปัญหาของมนุษย์ อยู่ที่กิเลสของคนผู้จะเข้าไปแก้นั้นแหละ ที่สำคัญกว่าหลักการหรือข้อบังคับอันยิ่งใหญ่ใด ๆ”

พรรคสัมมาธิปไตยเรามีความเชื่อว่า การแก้ปัญหาสังคมด้วยการจัดการแค่ระบบหรือแก้ไขกฎกติกาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญหรือกฎบัตรกฎหมายทั้งหมด ต่อให้เขียนไว้ดีสุดยอดขนาดไหนก็ตาม ถ้าคนยังมีกิเลส โลภ โกรธ หลงอยู่ เขาก็จะทำผิดโดยการแหกระบบ ละเมิดกฎหมาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล เจาะหาช่องว่างช่องโหว่ของกฎหมาย หรือไม่ก็ทำผิดอย่างหน้าด้าน ๆ โดยไม่สนไม่แคร์ใครทั้งสิ้นก็ได้ ดังนั้น “การปฏิรูปประเทศ” เพื่อกอบกู้บ้านเมืองในครั้งนี้ จึงไม่ใช่มุ่งไปที่การแก้ไขกฎกติกาของประเทศ แต่จะเน้นไปที่การหลอมรวมพลังความดี สร้างเครือข่ายคนดีให้เหนียวแน่นและอยู่คุ้มครองสังคมประเทศชาติอย่างยั่งยืนสืบไป

จางคลาย
14 พฤษภาคม 2566

เรื่องที่เกี่ยวข้อง