ถ้าอยากเห็นคนเลวที่เลวที่สุดในโลกอย่างที่ไม่มีใครเทียมเท่า รวมทั้งมีพรรคพวกเลวที่มากที่สุดในโลก ให้ไปดูที่งานการเมืองโลกียะ คือ การเมืองที่เต็มไปด้วยกิเลสโลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัวจัดจ้านสุดๆ เพราะงานการเมือง มีอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ ผลประโยชน์ทางโลกดูดดึงกิเลสมากที่สุด คนเลวเหล่านั้นจะพากัน ออกกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ รวมทั้งใช้กฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ และทรัพยากรต่างๆ เช่น ทรัพยากรบุคคล อุปกรณ์ ข้าวของ งบประมาณ ทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง หรือครอบครัวตัวเอง หรือพรรคพวกของตัวเอง

นักการเมืองโลกียะหรือนักการเมืองกิเลสหรือนักการเมืองชั่ว จะสร้างและใช้องค์ประกอบต่างๆ เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางโลกเข้าส่วนตัว กดขี่ ข่มเหง รังแก ขูดรีดประชาชน จับคนเป็นทาสรับใช้กิเลสหรือความต้องการของเขาตลอดกาลนาน สร้างความเดือดร้อน ความเลวร้าย ความเสียหายให้กับสังคม ประเทศชาติ ประชาชน มากขึ้นเป็นลำดับ จนสร้างความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และเข้าสู่ความพินาศฉิบหายในที่สุด

ประชาชนส่วนใหญ่เหล่านั้นจะอ่อนแอและถูกนักการเมืองชั่วข่มเหง รังแก เอารัดเอาเปรียบ หลอกลวงตลอดกาลนาน โดยไม่มีทางเข้มแข็งหรือเป็นอิสระออกมาได้เลย จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ หรือคนดีแท้ๆ ที่มีบารมี มีหมู่มิตรดีทุกหมู่เหล่าทุกสาขาอาชีพที่สานพลังกัน มีองค์ประกอบที่ดี มีปัญญา พึ่งตนได้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์จำเป็นต่อชีวิต ทั้งรูปธรรม (ปัจจัยสี่ และปัจจัยเสริม) และนามธรรม (บุญคือชำระกิเลส และกุศลคือมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น) เสียสละมาทำการเมืองโลกุตระ การเมืองเหนือโลกียะหรือเหนือกิเลสไปเป็นลำดับ

การเมืองโลกุตระ เป็นการเมืองที่คนมาทำนั้นต้องปฏิบัติศีลด้วยปัญญาอย่างตั้งมั่น คือ ลดละเลิกสิ่งที่เป็นโทษ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นไปเป็นลำดับ ทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม ถึงขั้นลดกิเลสความโลภโกรธหลงได้เป็นลำดับ

นักการเมืองโลกุตระ จะสานพลังกันจัดสรรองค์ประกอบ และองค์ความรู้ ให้ประชาชนได้มาเรียนรู้ฝึกฝนการพึ่งตนในสิ่งที่เป็นประโยชน์จำเป็นต่อชีวิต ทั้งรูปธรรม (ปัจจัยสี่ และปัจจัยเสริม) และนามธรรม (บุญคือชำระกิเลส และกุศลคือมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น) ทั้งด้านปราบและสร้างไปเป็นลำดับ

  • ด้านการปราบ คือ สานพลังกันกับหมู่มิตรดีทุกหมู่เหล่า ให้ปัญญากับประชาชน ให้แต่ละท่านที่มีหน้าที่เฉพาะแต่ละด้านหรือถนัดเฉพาะด้าน ทำหน้าที่ติข่มในสิ่งที่ไม่ดี ชมยกในสิ่งที่ดี (พระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 83) ต้านหรือลงโทษหรือกำจัดอำนาจที่ไม่ดีไปเป็นลำดับ (พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 81) ด้วยกลไกของกฎแห่งกรรมระดับกฎหมาย ระดับกฎสังคม และระดับกฎแห่งกรรมมิติอื่นๆ (พระไตรปิฎก เล่ม 20 ข้อ 167-178) เพื่อให้คนชั่วลดหรือหมดอำนาจไปเป็นลำดับ เกิดสภาพเข็ดหลาบในผลร้ายของการทำชั่ว เห็นคุณค่าของการทำดี และหันกลับมาทำดีในที่สุด ไม่เร็วก็ช้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า หรือไม่ก็ชาติอื่นๆ สืบไป ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนชั่วเองและทุกๆ ชีวิตสืบไป
  • ด้านการสร้าง คือ สร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิต ด้วยการสานพลังกันกับหมู่มิตรดี จัดสรรองค์ประกอบและให้ปัญญากับประชาชนได้เรียนรู้ฝึกฝนการพึ่งตนในสิ่งที่เป็นประโยชน์จำเป็นต่อชีวิต ทั้งรูปธรรม (ปัจจัยสี่ และปัจจัยเสริม) และนามธรรม (บุญคือชำระกิเลส และกุศลคือมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น) รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข และการใช้ทรัพยากรหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นผลเสียต่อส่วนรวม ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ณ ช่วงเวลานั้นๆ

การเมืองโลกุตระ การเมืองเหนือโลกียะหรือเหนือกิเลสไปเป็นลำดับ จึงเป็นการเมืองที่นำพาประชาชนให้เข้มแข็ง เป็นอิสระอย่างแท้จริง หลุดพ้นจากความเป็นทาส จากการกดขี่ ข่มเหง รังแก ขูดรีด จากนักการเมืองโลกียะหรือนักการเมืองกิเลสหรือนักการเมืองชั่วอย่างแท้จริง ทำให้ชีวิตของประชาชนเข้าสู่สภาพมีคุณค่าและผาสุกอย่างแท้จริงไปเป็นลำดับ

ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)
หัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตย
6 มิถุนายน 2567
ณ กองทัพธรรม บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ